โปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ
น้ำยางสดจากต้นยาง มีองค์ประกอบต่างๆ ที่หลากหลาย เช่น อนุภาคยาง , โปรตีน , ไขมัน , คาร์โบไฮเดรต , ลูทอยด์ , แร่ธาตุต่างๆ ฯลฯ ในส่วนของโปรตีนที่มีการตรวจสอบ พบอยู่เกือบ 300 ชนิด คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 % ของน้ำยางสด
เมื่อนำน้ำยางสดไปผ่านกระบวนการผลิตเป็นน้ำยางข้น โปรตีนบางส่วนถูกสลัดออกไป และบางส่วนก็ยังคงเหลืออยู่ในน้ำยางข้น ซึ่งจะถูกนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีกมากมาย ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์สำหรับอุปโภค บริโภคทั่วไป จนถึงวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์
การเรียนรู้เรื่องภูมิแพ้จากโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ
การรับรู้เรื่องภูมิแพ้จากโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ เกิดขึ้นหลังการตื่นตัวที่แพร่ไปทั่วโลกของโรคเอดส์ ในช่วงปี คศ, 1985 ( พศ. 2528 ) แต่ยังไม่เป็นที่ตระหนักของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมากนัก จนถึงประมาณปี คศ. 1990 – 1991 ซึ่งเกิดกรณีแรกที่มีการฟ้องร้องเรื่องอาการแพ้จากถุงมือยางธรรมชาติ จึงทำให้องค์การอาหารและยาของอเมริกา ( US. – FDA. ) เริ่มออกหนังสือแจ้งเรื่อง Latex Allergies ออกมาเป็นครั้งแรก
คศ. 1991 US. – FDA. เริ่มตระหนักถึงเรื่อง Latex Allergies
คศ. 1991 ในเดือนพฤษภาคม US. – FDA. ทำหนังสือแจ้งไปยังผู้ผลิตถุงมือยาง ว่า น้ำยางธรรมชาติ อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ได้
คศ. 1992 ทาง US. – FDA. เป็นผู้ดำเนินการจัดประชุมระหว่าง รัฐบาลอเมริกา , อุตสาหกรรม และสาธารณสุข เพื่อออกมาตรการบางอย่างที่จะช่วยป้องกันผู้ที่แพ้ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ
คศ. 1993 มีรายงานการวิจัยที่ระบุถึงการแพ้ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติว่า อาจจะเกิดจากโปรตีนที่มีอยู่ในน้ำยางธรรมชาติ และสามารถละลายน้ำออกมาได้ ซึ่งโปรตีนในกลุ่มนี้จะขจัดออกได้ โดยการล้างออกในระหว่างกระบวนการผลิต
คศ. 1994 เกิดความตื่นตัวอย่างมากเกี่ยวกับการแพ้โปรตีนในน้ายาง เหตการณ์ที่น่าสนใจ ได้แก่
- มีผู้เสนอให้กำหนดปริมาณสูงสุดของโปรตีน ที่อนุญาตให้มีในผลิตภัณฑ์ยาง
- มีการเสนอให้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากน้ำยางธรรมชาติ จะต้องมีป้ายระบุอย่างชัดเจน
- เป็นช่วงเวลา ที่หลายฝ่ายกำลังนำเสนอวิธีการหาปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม และเที่ยงตรง
- ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ เริ่มปรับปรุงกระบวนการผลิต ให้มีการขจัดโปรตีนออกจากผลิตภัณฑ์ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้
- มีรายงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ กล่าวถึงการวัดปริมาณโปรตีนทั้งหมดในน้ำยางธรรมชาติ ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่า จะทำให้คนแพ้หรือไม่แพ้
- เริ่มมีการนำน้ำยางสังเคราะห์ มาทดแทนน้ำยางธรรมชาติ ในผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ
คศ. 1995 มีรายงานการศึกษาการแพ้ยาง ซึ่งเกิดจากการสูดดม ทำให้ผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ เรียกร้องให้กำหนดปริมาณโปรตีนในผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ
คศ. 1996 มีรายงานจากสาธารณสุขของสวีเดน รายงานว่า บุคลากรทางการแพทย์ของสวีเดนประมาณ 5 – 17 % เป็นโรคภูมิแพ้โปรตีน และมีรายงานการแพ้จากหลายพื้นที่ในยุโรปและอเมริกา ซึ่งน่าจะมีสาเหตุมาจากการสูดดมฝุ่นแป้งที่ใช้เป็นสารหล่อลื่นในผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ
คศ. 1997 เป็นปีที่สำคัญสำหรับผู้ผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ ซึ่งจะต้องปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในสภาวะที่ถูกบีบจากทุกฝ่ายรอบด้าน โดยเฉพาะผู้ผลิตถุงมือยางทางการแพทย์ ที่มีอัตราการใช้งานขยายตัวปีละมากกว่า 8 % มาอย่างต่อเนื่อง เหตุการณ์สำคัญ ๆ ที่ส่งผลกระทบในปีนี้ได้แก่
- หลายรัฐในอเมริกา ออกกฎหมายห้ามใช้ถุงมือตรวจโรคชนิดมีแป้ง เพราะพบว่าแป้งที่ใช้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้เกิดอาการแพ้ได้
- ตัวแทนสหภาพแรงงานของสถานพยาบาลในอเมริกา ออกมาเรียกร้องให้ใช้ถุงมือยางสังเคราะห์แทนถุงมือยางธรรมชาติ โดยอ้างว่านอกจากจะมีอาการแพ้โปรตีนแล้ว ยังมีอาการโรคผิวหนัง และหอบหืดด้วย
- ผู้ผลิตถุงมือยางทั่วโลก ประมาณ 150 ราย ถูกฟ้องร้องจากอาการแพ้
- – FDA. ออกกฎให้พิมพ์คำเตือนข้างกล่อง สำหรับถุงมือยางตรวจโรค รักษาโรค
- โรงงานผู้ผลิต ต้องเพิ่มการลงทุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการถุงมือที่โปรตีนต่ำและไร้แป้ง ซึ่งจะลดความเสี่ยงจากการถูกฟ้องร้องลง
- โรงงานผู้ผลิตหลายแห่งที่ไม่สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิต ได้ปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก
คศ. 1998 ผู้เสียหายรายหนึ่งที่เป็นพยาบาล ชนะคดีที่ฟ้องร้องบริษัทฯ ว่า ละเลยการเอาโปรตีนออกจากถุงมือ ทำให้เธอต้องแพ้ จนต้องเข้าโรงพยาบาล
คศ. 1999 ในขณะที่กลุ่มผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ยาง พยายามออกกฎเกณฑ์เพื่อให้ผู้ผลิตต้องกำจัดโปรตีนออกจากผลิตภัณฑ์ยาง ทางด้านผู้ผลิตเอง ก็พยายามออกมาตรฐานการผลิตของตนเองเพื่อปกป้อง อุตสาหกรรมของตนเอง เช่น มาเลเซีย ซึ่งเตรียมออก SMG : Standard Malaysian Glove นอกจากนี้เริ่มมีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า ในผลิตภัณฑ์ยางที่มีค่าโปรตีนต่ำ สำหรับผู้แพ้บางรายก็ยังคงแสดงอาการแพ้อยู่
หลังปี คศ. 2000 เป็นต้นมา ทั้งผู้ผลิตและผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จากน้ำยางธรรมชาติ มีความร่วมมือกันมากขึ้นเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ปลอดภัยในการใช้งาน โดยในส่วนของผู้ผลิตเอง ได้พัฒนารูปแบบกระบวนการผลิตให้สามารถลดปริมาณโปรตีนที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ให้น้อยลง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ให้ความรู้ด้านโปรตีนที่มีอยู่ในน้ำยางธรรมชาติมากขึ้นเรื่อย ๆ
แนวทางการลดปริมาณโปรตีนในผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติ
วิธีการลดหรือควบคุมปริมาณโปรตีนที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ยางสามารถทำได้หลากหลายวิธี จัดเป็นกลุ่มหลัก ๆ ตามวิธีการได้ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ
- รูปแบบแรก ใช้วิธีควบคุมปริมาณโปรตีนตั้งแต่เริ่มต้นในสูตรการผสมยาง
- รูปแบบที่สอง ใช้วิธีขจัดออกจากผลิตภัณฑ์ในระหว่างการผลิต
- รูปแบบที่สาม นำผลิตภัณฑ์ไปผ่านกระบวนเคลือบป้องกันไม่ให้โปรตีนผ่านออกมาด้านนอก
รูปแบบการควบคุมปริมาณโปรตีนในสูตรตั้งต้น
การควบคุมปริมาณโปรตีนในสูตรตั้งต้น ทำได้ 2 แนวทางหลักด้วยกัน คือ
- เลือกใช้น้ำยางข้นที่มีโปรตีนต่ำ เช่น การนำน้ำยางข้นที่ผ่านกระบวนการผลิตแบบ double centrifuge มาใช้งาน การเลือกใช้น้ำยางข้นโปรตีนต่ำ มีข้อควรระวัง คือ
- ความเสถียรของน้ำยาง
- ปัญหาในกระบวนการผลิต โดยเฉพาะในขั้นตอนการขึ้นรูป และการวัลคาไนซ์
- ต้นทุนในการผลิตที่เพิ่มขึ้น
- ฯลฯ
- ปรับลดปริมาณเนื้อยางที่มีอยู่ในสูตร เพื่อลดการใช้น้ำยางโดยตรง ทำให้ปริมาณโปรตีนที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ลดลงตามปริมาณเนื้อยางที่ลดลงด้วย แนวทางการลดโปรตีนด้วยวิธีนี้ มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น
- ลดน้ำหนัก หรือขนาดของผลิตภัณฑ์ ทำให้ปริมาณเนื้อยางในผลิตภัณฑ์ลดลงโดยตรง
- เติมสารในกลุ่ม filler ลงไปในสูตรตั้งต้น เพื่อทดแทนเนื้อยางในสูตร
- เติมสารในกลุ่ม filler บางชนิดที่ทดแทนเนื้อยาง และสามารถดูดซับโปรตีนได้
รูปแบบการขจัดปริมาณโปรตีนออกจากผลิตภัณฑ์
การขจัดปริมาณโปรตีนออกจากผลิตภัณฑ์ โดยทั่วไปใช้อยู่ 2 แนวทางด้วยกัน คือ
- ทำลายโปรตีนในผลิตภัณฑ์ โดยการใช้กรด หรือด่าง การเลือกใช้วิธีนี้ต้องระมัดระวังการเสื่อมสมบัติทางกายภาพของผลิตภัณฑ์ ที่เกิดจากการล้างกรด หรือด่างออกไม่หมด
- ล้างโปรตีนที่ผิวของผลิตภัณฑ์ (Leaching) โดยน้ำสะอาด สามารถทำได้ใน 2 ขั้นตอนการผลิต คือ
- Wet Leaching เป็นการล้างในขณะที่ผลิตภัณฑ์ยังมีลักษณะเป็นฟิล์มเปียกอยู่
- Dry Leaching เป็นการล้างในระหว่างการทำวัลคาไนซ์ ซึ่งเป็นฟิล์มยางที่แห้ง แต่ยังวัลคาไนซ์ไม่สมบูรณ์
รูปแบบการป้องกันไม่ให้โปรตีนออกจากผลิตภัณฑ์
การป้องกันไม่ให้โปรตีนออกจากผลิตภัณฑ์ เป็นการนำผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติที่เสร็จแล้ว ไปเคลือบปิดผิวด้วยสารที่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการป้องกันโปรตีนผ่านออกมา โดยทั่วไปจะใช้โพลิเมอร์ชนิดต่าง ๆ เมื่อเคลือบแล้ว สมบัติของชั้นที่เคลือบควรเป็นดังนี้
- ยังใช้งานผลิตภัณฑ์ได้ง่ายและสะดวก
- ไม่เกิดการแยกชั้นกับยาง
- มีระดับโปรตีนต่ำ
- มีสีใกล้เคียงกับสีของผลิตภัณฑ์เดิม
- มีอายุการเก็บ ใกล้เคียงกับอายุของผลิตภัณฑ์เดิม
บทความข้างต้น เรียบเรียงและเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน ห้ามเผยแพร่ ทำซ้ำ หรือดัดแปลง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรทุกกรณี