น้ำยางจากต้นยางพารา เป็นที่รู้จักและนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ  โดยชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกากลางและอเมริกาใต้มาเป็นเวลานานก่อนที่ชาวยุโรป จะเดินทางไปถึงทวีปอเมริกา  มีช่วงเวลาที่สำคัญในวิวัฒนาการของการนำมาใช้ประโยชน์ ดังนี้

การค้นพบครั้งแรก
ประมาณ ปี ค.ศ.600  ชนพื้นเมืองเผ่าอินคา เผ่ามายา  เผ่าออลเมค  เผ่าแอซแทค  นำยางมาใช้ประโยชน์หลายรูปแบบด้วยกัน ได้แก่  ใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาเป็นอุปกรณ์ในการบูชาเทพเจ้า  ใช้เป็นอุปกรณ์ในการเล่นกีฬา  นอกจากนี้ยังนำมาเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน  เช่น  ชนเผ่ามายา (Mayan) ใช้การจุ่มเท้าลงในหม้อใส่น้ำยางสดซ้ำกันหลาย ๆ  ครั้งจนเป็นรองเท้าหนาตามความต้องการ  ชนเผ่ามานาโอส์ (Manaos)  นำน้ำยางสดมาทำเป็นถุงเก็บน้ำและแผ่นกันฝน  เป็นต้น

ancient rubber ballลูกบอลโบราณที่ทำจากน้ำยางวัลคาไนซ์ของชนพื้นเมืองโบราณในเม็กซิโกและอเมริการกลาง
ที่มา : http://en.wikipedia.org/wiki/Mesoamerican_rubber_balls

การค้นพบครั้งสำคัญ

ค.ศ.

วิวัฒนาการของยางพารา

 1200  พบหลักฐานในเขตเม็กซิโก ว่ามีการนำยางมาทำเป็นลูกบอลกลม ใช้เล่นกีฬาคล้ายกับบาสเกตบอล
 1510 เมื่อคริสโตเฟอร์  โคลัมบัส  เดินทางไปอเมริกาครั้งที่  2  มีบันทึกการพบเห็นชาวอินเดียนแดงพื้นเมืองที่เกาะเฮติ  กำลังเล่นวัตถุลักษณะกลมที่กระดอนได้สูงอย่างไม่น่าเชื่อ  จึงเรียกวัตถุมหัศจรรย์ที่เต้นได้ นั้นว่า  “ ลูกบอลผีสิง “ 
 1540 มีการบันทึกการใช้ยางทำผ้ากันฝนครั้งแรกโดยพิซซาโร  (Pizzro)  ชาวสเปน
 1678 เอริสซองท์  (Herrissant)  และมัคแกร์  (Macquer)  พบว่าน้ำมันสน (Turpentine)  ใช้เป็นตัวทำละลายยางได้  และอีเทอร์ (Ether)  สามารถใช้เป็นสารละลายยางได้ดีกว่าน้ำมันสน
 1740  ชาลส์ มารี เดอ ลา คองดามีน (Charles Marie de La Condamine) ได้พบของเหลวที่มีลักษณะขุ่นขาวคล้ายกับน้ำนม ซึ่งไหลออกมาจากต้นยาง ดองตามีนได้ส่งข้อมูลนี้ไปให้กับสภาวิทยาศาสตร์แห่งปารีส  และได้เรียกชื่อยางตามคำพื้นเมืองของชาวไมกาว่า คาโอชู  ซึ่งแปลว่าต้นไม้ร้องไห้ (CAOUTCHOUC: COU หมายถึงไม้ และ TCHU หมายถึงหลั่งน้ำตา) นอกจากนี้ยังได้ให้ชื่อของเหลวที่มีลักษณะขุ่นขาวคล้ายน้ำนมซึ่งไหลออกมาจาก ต้นยางเมื่อกรีดเป็นรอยแผลว่า  LATEX
 1770  โจเซฟ พริสต์เลย์ (Joseph. Priestley)  นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ พบว่าวัสดุนี้ใช้ลบรอยดินสอที่เขียนไว้ได้  จึงตั้งชื่อนี้ว่า RUBBER และเป็นชื่อที่ใช้เรียกกันแพร่หลายต่อมา
 1791  ซามูเอล  ฟีล (Samuel  Pile)  ได้จดลิขสิทธิ์ที่ประเทศอังกฤษ  เกี่ยวกับวิธีการฉาบเสื้อผ้าที่ทำด้วยหนัง  ฝ้าย  ผ้าใบ  และขนสัตว์กันน้ำซึม ด้วยสารละลายยาง
 1791  โฟร์  ครอย  ค้นพบการเติมด่าง  ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำยางจับตัวเป็นก้อน  แต่ไม่ได้รับความสนใจ
 1803  ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส  มีการเริ่มทำผลิตภัณฑ์ยางเป็นครั้งแรก  แต่พบข้อเสียคือ  หน้าร้อนยางจะเหนียวเหนอะหนะ  และหน้าหนาวยางจะแข็งเปราะแตกง่าย
 1826  ไมเคิล  ฟาราเดย์  นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ พบว่ายางธรรมชาติเป็นสารที่ประกอบด้วยธาตุคาร์บอน และ ไฮโดรเจน มีสูตรเคมี  คือ C5H8
 1832  โธมัส  แฮนค๊อก (Thomas Hancock) ทำการประดิษฐ์เครื่องฉีกยางที่ตั้งชื่อว่า masticator  ซึ่งเป็นเครื่องต้นแบบที่ใช้กันจนถึงปัจจุบันนี้
 1839  ชาส์ล  กู๊ดเยียร์ (Charles Goodyear)  ชาวอเมริกัน  ได้ค้นพบโดยบังเอิญว่า ยางจะทำปฎิกริยากับกำะถันที่อุณหภูมิสูงกว่าจุดหลอมเหลวของกำมะถัน  ทำให้ยางแข็งตัวและยืดหยุ่นได้ดี  ทนทางต่อสภาพดินฟ้าอากาศ  ไม่เยิ้มเหลวในสภาพอากาศร้อน ไม่แข็งเปราะเมื่ออากาศเย็น และจดสิทธิบัตรความคิดนี้ในปี คศ.1844
 1843  โธมัส  แฮนค๊อก  ได้สานต่อแนวความคิดของ ชาลส์  กู๊ดเยียร์  โดยนำแผ่นยางบาง ๆ  มาชุบกำมะถันร้อน  อุณหภูมิ 110 องศาเซลเซียส  เป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง  ปรากฏว่ายางยืดหยุ่นตัวได้ดี  จึงได้ขอจดสิทธิบัตรไว้  และเรียกกระบวนการเกิดปฎิกริยาของกำมะถันกับโครงสร้างโมเลกุลยางนี้ว่า การบ่ม (Cure ) หรือการวัลคาไนซ์ (Vulcanization)
 1846  โธมัส  แฮนค๊อก  ทำการประดิษฐ์ยางตันสำหรับรถม้าทรงของพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งอังกฤษ
 1870  จอห์น ดันลอป (John Dunlop) ทำการประดิษฐ์ยางอัดลมสำหรับรถจักรยานได้สำเร็จ

และหลังจากค้นพบกระบวนการวัลคาไนเซชั่น ในช่วงปี ค.ศ. 1845 หรือ พ.ศ. 2388 อุตสาหกรรมยางได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  จนทำให้การผลิตยางในเขตพื้นที่อเมริกาใต้ไม่สามารถผลิตให้เพียงพอกับความ ต้องการที่เพิ่มขึ้นได้  จึงเริ่มมีการมองหาพื้นที่ในการปลูกยางพาราเพิ่มเติม นับจากนั้นเป็นต้นมา