ส่วนประกอบที่เป็นเนื้อยางมีอยู่ประมาณ  35  %   ส่วนของอนุภาคยางถูกห่อหุ้มด้วยสารจำพวกไขมันและโปรตีน  อาจจะมีโลหะบางชนิด เช่น แมกนีเซียม , โปแตสเซียม หรือทองแดง ปะปนอยู่เล็กน้อย

dry rubber1_rubberdigest

ส่วนประกอบหลักในส่วนที่เป็นเนื้อยางได้แก่

  อนุภาคยาง 

อนุภาค ยางแขวนลอยอยู่ในน้ำ เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีความหนาแน่นเท่ากับ 0.92 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร  มีชื่อโครงสร้างทางเคมีว่า  ซิส 1,4 โพลิไอโซปรีน  ( Cis – 1,4 polyisoprene )

อนุภาคยางมีรูป ทรงค่อนข้างกลม  อนุภาคมีขนาดแตกต่างกันมากตั้งแต่  0.04 – 4  ไมโครเมตร  แต่ส่วนใหญ่มีขนาดเกิน 0.4  ไมโครเมตร  ขนาดอนุภาคเฉลี่ยของต้นยางที่เจริญเติบโตเต็มที่มีค่าประมาณ  1 ไมโครเมตร

ใน เนื้อยางแห้งที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน  มีส่วนประกอบ  2 ส่วนที่มีพฤติกรรมการละลายในตัวทำละลายที่ต่างกัน  คือ ส่วนที่ละลายในตัวทำละลาย  ( Sol Fraction ) กับ ส่วนที่ไม่ละลายในตัวทำละลาย หรือส่วนที่เป็นเจล  ( Gel Fraction )  ซึ่งอัตราส่วนระหว่าง  Sol / Gel  จะขึ้นอยู่กับชนิดของตัวทำละลาย  การศึกษาเรื่องอนุภาคของน้ำยาง  จะให้ความสนใจส่วนที่เป็นเจลกับธรรมชาติของการเชื่อมโยง  และมวลโมเลกุลของอนุภาคน้ำยางสด

ส่วนที่เป็นเจล กับธรรมชาติของการเชื่อมโยงอนุภาคยาง
เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า  ปริมาณเจลของยางในน้ำยางสดมีค่าน้อยมาก  น้ำยางสดที่กรีดใหม่จากต้นที่ทำการกรีดสม่ำเสมอ อาจมีปริมาณเจลเป็นศูนย์  ปริมาณเจลของอนุภาคยางจะเพิ่มขึ้น  เมื่ออายุน้ำยางเพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจะเนื่องจากต้นยางอายุมาก หรือตั้งน้ำยางทิ้งไว้หลังการกรีดจากต้น  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปฎิกริยาการเชื่อมโยงระหว่างอนุภาคยางเกิดขึ้นทันทีหลัง การกรีดน้ำยาง  อัตราการเชื่อมโยงขึ้นอยู่กับการที่สารบางตัวจากส่วนที่เป็นน้ำเข้าไปใน อนุภาคยาง  ดังนั้นระดับการเชื่อมโยงจะสูงสุดในอนุภาคยางที่มีขนาดเล็กสุด

ในยางธรรมชาติพบว่าเจลส่วนใหญ่มาจากอนุภาคยางที่เล็กมาก ๆ  ขนาดอนุภาคน้ำยางสดที่เป็นเจลมีขนาดประมาณ  0.1  ไมโครเมตร  ในขณะที่ขนาดอนุภาคยางเฉลี่ยเท่ากับ  1.0  ไมโครเมตร  ถ้าส่วนที่เป็นเจลมีขนาดอนุภาคเล็กมาก ๆ  จะเรียกส่วนที่เป็นเจลนี้ว่าไมโครเจล  (Microgel)

เนื่องจากน้ำยางประกอบด้วย อนุภาคยางขนาดต่างกัน  โดยที่ความเข้มข้นของการเชื่อมโยงจะลดลงเมื่ออนุภาคมีขนาดใหญ่ขึ้น  และในแต่ละอนุภาคยาง  ความเข้มข้นของการเชื่อมโยงจะเพิ่มขึ้นเมื่ออายุของน้ำยางมากขึ้น   ดังนั้นในน้ำยางจึงประกอบไปด้วย  อนุภาคยางขนาดเล็กที่มีการเชื่อมโยงสูง , อนุภาคยางขนาดปานกลางที่มีการเชื่อมโยงระดับกลาง  และ  อนุภาคยางขนาดใหญ่ที่มีการเชื่อมโยงต่ำ

มวลโมเลกุลของอนุภาคน้ำยางสด
มวล โมเลกุลของส่วนที่เป็นเจลมีค่าอนันต์  ส่วนมวลโมเลกุลของส่วนที่ละลายได้มีค่าอยู่ในช่วงกว้าง  มวลโมเลกุลเฉลี่ยตามจำนวนโมเลกุล ( Mn )  มีค่าประมาณ  3 x 105  daltons  แต่มวลโมเลกุลเฉลี่ยตามน้ำหนัก ( Mw ) มีค่าสูงกว่ามากคือ  1.8 x 106  daltons

การที่อัตราส่วนระหว่าง  Mw / Mn  หรือ  polydisperse  index  ( PDI )  มีค่าประมาณ  6  แสดงว่าโมเลกุลของยางมีขนาดแตกต่างกันมาก  มีการกระจายมาก


  โปรตีน  

โปรตีนในน้ำยางมีอยู่ในส่วนประกอบ  3  ส่วนด้วยกัน  คือ

  • โปรตีนที่ห่อหุ้มอยู่ตรงผิวรอบนอกของอนุภาคยางมีประมาณ  25 %
  • โปรตีนที่อยู่ในชั้นน้ำ  50  %
  • โปรตีนที่ปนอยู่ในสารพวกลูทอยด์อีก  25  %

ที่ผิวนอกของอนุภาคน้ำยางสดเชื่อว่าเป็นโปรตีนซึ่งเป็นชั้นดูดซับ  ส่วนของชั้นโปรตีนนี้เองที่ทำให้อนุภาคยางมีประจุลบจุดไอโซอิเลคติ คของอนุภาคยางมีค่าเท่ากับ pH  ประมาณ  4.1   (  จุดไอโซอิเลคติค  คือ  จุดที่ประจุบวกและประจุลบ บนโมเลกุลสมดุลกัน  คือ ไม่แสดงประจุและการละลายน้อยที่สุด  )

โปรตีนบนผิว ของอนุภาคยางมีกำมะถันอยู่ประมาณ  5  %  ดังนั้นเมื่อน้ำยางเกิดการสูญเสียสภาพ  โปรตีนส่วนนี้จะสลายตัว ให้สารประกอบพวกไฮโดรเจนซัลไฟด์ และสารเมอร์แคปแทน ทำให้น้ำยางมีกลิ่นเหม็น  และเกิดการบูดเน่า

เนื่องจาก โปรตีน ประกอบด้วยกรดอะมิโนซึ่งมีไนโตรเจนอยู่   ดังนั้นการวิเคราะห์หาปริมาณไนโตรเจนในยางจึงเป็นการวิเคราะห์หาปริมาณ โปรตีนทางอ้อม  โดยสามารถคำนวณหาได้จากสูตร

                                  ปริมาณโปรตีน  =  6.25 x ปริมาณไนโตรเจน       

 

 ไขมัน (Lipid)
ไขมัน ในน้ำยางสดประกอบด้วย  sterols , sterol esters , fats  และ  Waxes  ส่วนใหญ่อยู่ในอนุภาคยาง  อาจละลายอยู่ในเนื้อยางไฮโดรคาร์บอน  และฟอสโฟไลปิด ซึ่งเป็นส่วนดูดซับอยู่ที่ผิวของอนุภาคยาง

ไขมัน ที่อยู่ระหว่างผิวของอนุภาคยางและโปรตีน ส่วนใหญ่เป็นสารพวก  ฟอสโฟไลปิด ชนิด  – Lecithin เชื่อว่าทำหน้าที่ยึดโปรตีนให้เกาะอยู่บนผิวของอนุภาคยาง  เนื่องจากโมเลกุลเลซิตินแสดงประจุบวกที่  pH  ของน้ำยางสด  ในขณะที่โปรตีนแสดงประจุลบ ทำให้เกิดพันธะอิออนระหว่างกัน

น้ำยางในสภาวะที่เป็นด่าง เช่น มีแอมโมเนีย  0.6 % ขึ้นไป สารฟอสโฟไลปิดจะถูกไฮโดรไลซ์เป็นกรดไขมันที่มีโมเลกุลยาว  ซึ่งจะรวมตัวกับแอมโมเนียกลายเป็นสบู่  ทำให้น้ำยางมีความเสถียรยิ่งขึ้น

น้ำยางที่มีแอมโมเนียปริมาณน้อย  ประมาณ  0.2 %  ในน้ำยาง  การไฮโดรไลซิสจะเกิดขึ้นน้อย  จึงจำเป็นต้องเพิ่มสบู่เพื่อเพิ่มความเสถียรของน้ำยาง