ความจำเป็นในการเก็บรักษาน้ำยาง
น้ำยางเป็นของเหลวสีขาว ประกอบด้วยอนุภาคยางกระจายอยู่ในตัวกลางที่เป็นน้ำ แบคทีเรียจากสิ่งแวดล้อมจะเข้าไปในน้ำยาง เพื่อกินสารอาหารซึ่งไม่ใช่ยาง เช่น น้ำตาล โปรตีน การที่แบคทีเรียกกินสารอาหารในน้ำยาง จะเกิดการย่อยสลายให้สารซึ่งเป็นกรดที่มีโมเลกุลขนาดเล็กมีความยาวโซ่สั้น ( Short chain fatty acid ) เป็นกรดที่ระเหยได้ง่าย ( Volatile fatty acid )
โดยปกติน้ำยางสดจากต้นยางพารา จะคงสภาพเป็นน้ำยางได้ไม่เกิน 6 ชั่วโมง เมื่อเก็บมาใหม่ ๆ ค่า pH ของน้ำยางสดมีค่าประมาณ 6.5 – 7.0 หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 ชั่วโมง จะเริ่มจับตัวเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายเม็ดพริก แล้ะค่อย ๆ หนืดขึ้น แต่เมื่อตั้งทิ้งไว้อีกระยะหนึ่ง เช่น 12 ชั่วโมง ค่า pH ของน้ำยางลดลงเหลือประมาณ 5 และน้ำยางจะจับตัวเป็นก้อน โดยน้ำยางเริ่มเกิดการบูดเน่า และมีกลิ่นเหม็น
การ เก็บรักษาน้ำยาง จะต้องหาวิธีการที่สามารถยับยั้งทำลายจุลินทรีย์ ซึ่งในช่วงเวลาที่ชาวยุโรปรู้จักยางใหม่ ๆ นั้น ความรู้เกี่ยวกับจุลินทรีย์ยังมีน้อย จนกระทั่งมาถึงสมัยของ หลุยส์ ปาสเตอร์ ( คศ. 1822 – 1895 ) จึงมีการเผยแพร่ความรู้เรื่องของจุลินทรีย์ในอากาศอย่างกว้างขวาง ความพยายามในการรักษาสภาพน้ำยาง จึงเป็นการที่สามารถหาสารเคมีที่สามารถหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ จุลินทรีย์
แนวความคิดเรื่องการเก็บรักษาสภาพน้ำยางมีมา ตั้งแต่ช่วงคริสตศตวรรษที่ 17 คือหลังจากชาวยุโรปได้เดินทางไปยังทวีปใหม่ ทำให้ได้รู้จักกับน้ำยางจากต้นยางและการนำไปใช้ประโยชน์ เมื่อความต้องการใช้ประโยชน์จากน้ำยางแพร่หลายในยุโรป แต่การปลูกยางยังไม่แพร่หลายออกจากพื้นที่อเมริกากลางและอเมริกาใต้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาทางรักษาสภาพน้ำยางเอาไว้ในระหว่างการขนส่งข้ามทวีป ไปยังยุโรป จนเกิดการพัฒนาระบบการเก็บรักษาน้ำยางเป็นลำดับดังนี้
คศ. 1771 : โฟร์ครอย ( A.F. Fourcroy ) ได้รายงานการค้นพบว่า สารประเภทด่างสามารถเก็บรักษาน้ำยางสดได้ ในระยะเริ่มต้น จะใช้พวกด่างโซดาไฟ ( NaOH ) และ โปแตสเซียมไฮดรอกไซด์ ( KOH ) ทำให้การขนส่งน้ำยางไปยังที่ต่าง ๆ ได้เริ่มต้นขึ้น
คศ. 1853 : เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเก็บรักษาสภาพน้ำยาง เมื่อ จอห์นสัน ( W. Johnson ) ได้พบว่าแอมโมเนียสามารถรักษาน้ำยางสดได้ แต่เริ่มมีการใช้อย่างจริงจังตั้งแต่ คศ. 1900 และใช้ต่อเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ตั้งแต่อดีตมาจนถึงยุค ปัจจุบัน มีการรวบรวมการคิดค้นสารเคมีสำหรับรักษาน้ำยางเอาไว้เกือบสองร้อยชนิด แต่ที่นำมาใช้ประโยชน์จริง ๆ มีเพียงไม่กี่ชนิด สาเหตุเนื่องมาจาก
- เป็นสารเคมีที่หาได้ยาก
- มีราคาสูงจนทำให้ต้นทุนของน้ำยางสูงขึ้นมาก
- บางชนิดมีมีประสิทธิภาพต่ำ
- สารเคมีบางชนิดก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งาน
- สารเคมีบางชนิดก่อให้เกิดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม