จากความจำเป็นในการเก็บรักษาน้ำยาง เพื่อให้คงสภาพเอาไว้ได้ระยะหนึ่ง  จึงมีการนำสารเคมีต่าง ๆ  มาใช้ทดลองรักษาสภาพของน้ำยาง  ซึ่งสารเคมีที่มีความเหมาะสมในการเก็บรักษาน้ำยางควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียในน้ำยาง  ที่ปนเปื้อนจากภายนอก  เรียกสารที่มีคุณสมบัตินี้ว่า  Bactericide
  • เป็นสารเพิ่มความเสถียรของอนุภาคยาง  ให้อยู่ในสภาพของคอลลอยด์ได้  โดยการเพิ่มประจุระหว่างอนุภาคยางและน้ำที่อยู่รอบ ๆ  ผิวอนุภาคยาง
  • สารที่เลือกใช้ควรมีสภาพเป็นด่าง  เนื่องจากน้ำยางสามารถคงความเสถียรไว้ได้ดีกว่าสภาพที่เป็นกรด
  • สามารถทำให้อนุมูลของโลหะหนัก  ไม่ว่องไวต่อปฎิกริยา  หรือเกิดการตกตะกอนเป็นเกลือที่ไม่ละลายน้ำ  เช่น  อนุมูลของโลหะแคลเซียมหรือแมกนีเซียม  เป็นต้น
  • สามารถทำปฎิกริยากับสารพวกคาร์โบไฮเดรตซึ่งมีอยู่ในน้ำยาง
  • ไม่ทำให้คุณภาพของยางเปลี่ยนไปจากเดิม
  • ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้  สะดวกและปลอดภัยในการเก็บรักษาและการขนส่ง
  • เป็นสารที่มีราคาถูก  ไม่ทำให้ราคาน้ำยางสูงเกินไป

ชนิดของสารเคมีสำหรับการเก็บรักษาน้ำยาง

สาร เคมีสำหรับการเก็บรักษาน้ำยางโดยทั่วไปจะแบ่งออกได้เป็น  2  ประเภท  คือ สารเคมีสำหรับเก็บรักษาน้ำยางในระยะสั้น  และสารเคมีสำหรับเก็บรักษาน้ำยางในระยะเวลานาน

  • สารเคมีสำหรับเก็บรักษาน้ำยางในระยะสั้น  มีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาน้ำยางให้คงสภาพในช่วงเวลาไม่นาน ประมาณ   2 – 3 วันเท่านั้น  ก่อนที่จะนำน้ำยางนั้น  มาแปรรูปเป็นยางแห้ง หรือน้ำยางข้น  เรียกสารเคมีในกลุ่มนี้ว่า  สารป้องกันการจับตัว  (  Anticoagulant  )  เช่น  แอมโมเนีย  โซเดียมซัลไฟด์  ฟอร์มาลดีไฮด์  เป็นต้น
  • สารเคมีสำหรับเก็บรักษาน้ำยางเป็นเวลานาน  มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บรักษาน้ำยางที่ผ่านกระบวนการผลิตเป็นน้ำยางข้น  ไม่ให้เกิดการเสียสภาพ  เมื่อลำเลียงน้ำยางข้นไปเป็นระยะทางไกล ๆ  หรือจัดเก็บไว้ในสต๊อคนาน ๆ  สารเคมีในกลุ่มนี้เรียกว่า  สารรักษาสภาพน้ำยาง  (Preservatives) เช่น  แอมโมเนีย  และการใช้แอมโมเนียร่วมกับสารเคมีอื่น  ซึ่งสารที่ใช้ร่วมนี้จะเรียกว่า  Secondary  Preservative  เช่น  ซิงค์ออกไซด์  เตตระเมทธิลไทยูแรมไดซัลไฟด์  กรดบอริค  เป็นต้น

ammonia