รูปแบบต่างๆ ที่ใช้เก็บรักษาน้ำยาง
ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของการเก็บรักษาน้ำยางเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ได้มีการทดลองรูปแบบต่าง ๆ ในการเก็บรักษาน้ำยาง ในที่นี้จะมุ่งเน้นรูปแบบของการเก็บรักษาน้ำยางในระยะสั้นเพื่อการนำไปแปร รูปต่อ จนถึงปัจจุบันได้มีรูปแบบที่พัฒนามาดังนี้
1. การเก็บรักษาน้ำยางด้วยด่าง
ใน ระยะเริ่มต้นพบว่า น้ำยางสดที่ใส่ด่างโซดาไฟ (NaOH) สามารถเก็บรักษาน้ำยางได้ ตั้งแต่นั้นมาจึงเริ่มมีการใช้ด่างชนิดนี้ในการเก็บรักษาน้ำยาง และเริ่มขนส่งน้ำยางสดไปนอกพื้นที่เพาะปลูก ซึ่งในระยะเริ่มต้นด่างโซดาไฟ ดูเหมือนจะช่วยเก็บรักษาน้ำยางได้ดี แต่พอตั้งทิ้งไว้ 2 – 3 อาทิตย์ น้ำยางก็เริ่มมีอาการจับตัวเป็นก้อนเล็ก การเก็บรักษาน้ำยางสดด้วย NaOH จึงไม่ประสบความสำเร็จ เพราะน้ำยางเกิดการสูญเสียสภาพในที่สุด ไม่ว่าจะเติมด่างชนิดนี้เพิ่มเข้าไปมากหรือน้อยก็ตาม
2. การเก็บรักษาน้ำยางด้วยแอมโมเนีย
ประมาณ ปีคศ. 1853 W. Johnson ได้ค้นพบว่าแอมโมเนีย สามารถรักษาสภาพน้ำยางสดได้ โดยมีสมบัติในการเป็นสารเคมีที่ใช้เก็บรักษาน้ำยางที่ดีที่สุด ได้แก่
- แอมโมเนียจะมีฤทธิ์เป็นด่าง ช่วยให้ประจุลบบนอนุภาคยางเป็นลบยิ่งขึ้น จึงทำให้น้ำยางมีความเสถียรเพิ่มขึ้น
- สามารถทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
- แอมโมเนียสามารถกำจัดอิออนของโลหะพวกแมกนีเซียมที่มีอยู่ในน้ำยางธรรมชาติ ให้เกิดการตกตะกอนกลายเป็นแมกนีเซียมแอมโมเนียมฟอสเฟต
- ไม่ทำให้คุณสมบัติของยางเสียหาย และมีราคาไม่สูงมาก
แอมโมเนียที่นำไปใช้ ควรเตรียมให้อยู่ในรูปสารละลายเข้มข้น 10 % โดยปริมาณการใช้ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่จะเก็บรักษาน้ำยาง ถ้าต้องการเก็บรักษาน้ำยางไว้ 3 – 10 ชั่วโมง ควรใส่แอมโมเนียปริมาณ 0.01 – 0.05 % ต่อน้ำหนักของน้ำยาง แต่ถ้าต้องการเก็บรักษาน้ำยางไว้นาน 1 – 2 วัน ควรใส่แอมโมเนียปริมาณ 0.15 % ต่อน้ำหนักน้ำยาง ในกรณีที่ต้องการทำให้ค่า VFA ของน้ำยางสดอยู่ในเกณฑ์ต่ำเป็นระยะเวลานาน ควรต้องใช้แอมโมเนียในปริมาณ 0.4 % ขึ้นไป
3. การเก็บรักษาน้ำยางด้วยฟอร์มัลดีไฮด์
รู้จัก กันในชื่อของ ฟอร์มาลีน ปกติจะมีจำหน่ายในรูปสารละลาย 38 – 40 % เวลานำไปใช้ควรเตรียมให้อยู่ในรูปสารละลาย 1 % และต้องทำให้ฟอร์มัลดีไฮด์เป็นกลางก่อน ด้วยโซเดียมคาร์บอเนต โซเดียมซัลไฟด์ หรือแอมโมเนีย สำหรับปริมาณการใช้ ขึ้นอยู่กับสภาพของต้นยางขณะกรีดยาง และการนำน้ำยางมาแปรรูป
บางครั้งมีการใช้ฟอร์มัลดีไฮด์ปริมาณเล็กน้อยร่วมกับการใช้สารเคมีอื่น เช่น ฟอร์มัลดีไฮด์ ร่วมกับแอมโมเนีย ก็สามารถรักษาน้ำยางได้เช่นกัน แต่โดยปกติแอมโมเนียและฟอร์มัลดีไฮด์ สามารถรวมตัวกัน เกิดเป็นผลึก hexamethylene tetramine ดังนั้นเวลาใช้ควรใส่ทั้งสองชนิดนี้แยกกัน โดยการใส่ฟอร์มัลดีไฮด์ลงไปในน้ำยางก่อน แล้วจึงใส่แอมโมเนีย
4. การเก็บรักษาน้ำยางด้วยโซเดียมซัลไฟต์
Sodium Sulphite , Na2SO3 อยู่ในรูปผงสีขาวมีส่วนผสมของซัลเฟอร์ไดออกไซด์อยู่ 48 – 50 % มีฤทธิ์เป็นด่าง ไม่เสถียรเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ( ประมาณ 35 – 40 องศาเซลเซียส ) ดังนั้นต้องจัดเก็บไว้ในที่เย็นและแห้ง ในภาชนะที่มีฝาปิด
การ นำไปใช้งานต้องเตรียมเป็นสารละลาย สารละลายที่เตรียมได้จะเสื่อมสลายได้เร็ว ดังนั้นควรเตรียมใหม่ทุกครั้งที่ใช้ และเตรียมให้ใช้ครั้งเดียวหมดไป
การ ใส่โซเดียมซัลไฟต์ลงในน้ำยางสด จะได้ยางที่มีสีจางกว่าการไม่ใช้สารเก็บรักษาน้ำยาง หรือการใช้แอมโมเนียร่วมกับฟอร์มัลดีไฮด์ ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้ในการทำยางแผ่นผึ่งแห้ง หรือ ยางเครพสีจาง มักจะไม่แนะนำให้ใช้น้ำยางสดที่เก็บรักษาด้วยโซเดียมซัลไฟต์ไปทำน้ำยางข้น เพราะยากแก่การกำจัด เมื่อไม่ต้องการและมีปัญหาในเรื่องการเพิ่มขึ้นอย่างผิดปกติของค่า KOH number ในน้ำยางข้น