ในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางจากน้ำยาง  ทำให้เกิดความต้องการน้ำยางมาเป็นวัตถุดิบจำนวนมาก  น้ำยางที่จะนำมาเป็นวัตถุดิบนี้  นอกจากต้องมีปริมาณที่มากเพียงพอแล้ว  ยังต้องการคุณภาพที่สม่ำเสมอ  ดังนั้นการใช้น้ำยางสดจากแต่ละสวน ซึ่งมีคุณภาพไม่สม่ำเสมอมาเป็นวัตถุดิบ  ทำให้ยากต่อการควบคุมกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำยาง  จึงต้องนำน้ำยางสดมาแปรรูปขั้นต้นให้มีคุณภาพที่สม่ำเสมอก่อน

latex-1
การแปร รูปน้ำยางให้เป็นผลิตภัณฑ์ยางประเภทต่าง ๆ นั้น  เป็นการทำให้น้ำยางเสียความเสถียรหรือเสียสภาพ เปลี่ยนสถานะจากของเหลว คือน้ำยาง เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแข็ง  ซึ่งเป็นการทำให้น้ำยางที่ถูกรักษาสภาพมาเป็นอย่างดี  ต้องสูญเสียสภาพในช่วงเวลาที่พอดีตามที่กระบวนการผลิตต้องการให้ได้ ผลิตภัณฑ์ยางที่มีคุณภาพตรงตามวัตถุประสงค์  ดังนั้น จึงต้องเรียนรู้ถึงคุณลักษณะต่าง ๆ  ของน้ำยาง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องดังนี้
–    ความเสถียรของน้ำยาง ซึ่งจะพิจารณาถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเสถียรของน้ำยาง
–    การสูญเสียความเสถียรของน้ำยาง  ที่มีอยู่  2  แบบด้วยกัน  คือ  การเสียความเสถียรทางกายภาพ  และการเสียความเสถียรทางเคมี


ผลกระทบจากความเสถียรของน้ำยาง


ความเสถียรของน้ำยาง 
หมายถึง  ความสามารถที่อนุภาคยางสามารถรักษาสภาพของการมีรูปร่างขนาดเดิม

ความไม่เสถียรของน้ำยาง 
หมายถึง  การสูญเสียความสามารถในการคงสภาพของการมีรูปร่างขนาดเท่าเดิมของแต่ละอนุภาค

ตาม หลักเทอร์โมไดนามิค  น้ำยางถือเป็นสารที่ไม่เสถียร  อนุภาคยางจะพยายามรวมตัวกันให้มีอนุภาคใหญ่ขึ้น  เป็นการลดพื้นที่ผิวลง  คล้ายกับฟองสบู่ที่พยายามรวมตัวกันเป็นฟองใหญ่  ทำให้ฟองมีความเสถียรเพิ่มขึ้น   แต่โดยปกติน้ำยางธรรมชาติมีความเสถียรอยู่  เพราะมีสารที่เป็นโปรตีนหรือสบู่เกาะที่ผิวของอนุภาค  สารเหล่านี้เป็นประจุลบ จึงผลักกันไม่ให้อนุภาคยางรวมตัวเข้าด้วยกัน  นอกจากนี้ถ้าน้ำยางอยู่ในสภาวะที่เป็นด่าง  ฟอสโฟไลปิดที่ห่อหุ้มอนุภาคยางจะเกิดการไฮโครไลซิส  เกิดเป็น fatty acid soap  ห่อหุ้มอนุภาคยาง ให้เกิดความเสถียรขึ้น

ความรู้เรื่องความ เสถียรของน้ำยางในสภาวะที่เป็นด่าง ถูกนำมาใช้ในการช่วยเพิ่มความเสถียรของน้ำยาง โดยการใช้สารเคมีในกลุ่มที่เรียกว่า สาร Stabiliser มาช่วยปรับความเสถียรของน้ำยาง  ความพยายามรักษาความเสถียรของน้ำยางควรระมัดระวังถึงผลกระทบจากความเสถียร ของน้ำยาง ดังนี้

1. น้ำยางที่เก็บรักษาด้วยแอมโมเนียที่มีสถานะเป็นด่าง  ถ้าใช้แอมโมเนียในปริมาณที่สูง จะเกิดการไฮโดรไลซิสของฟอสโฟไลปิดได้ดีกว่าน้ำยางที่เก็บรักษาด้วยแอมโมเนีย ปริมาณต่ำ
2. สารเคมีในกลุ่ม Stabiliser ที่ใช้กับน้ำยางจะมีอยู่  2  ระบบด้วยกัน  คือ

  • ระบบ IONIC  จะแยกเป็น  3  กลุ่มย่อย คือ  ชนิด  ANIONIC ( มีประจุลบ ) ,  ชนิด  CATIONIC ( มีประจุบวก ) และชนิด  AMPHOTERIC ( ประจุบวกหรือลบ  ขึ้นอยู่กับ pH )
  • ระบบ NON – IONIC  จะให้ความเสถียรต่อ  กรด  ด่าง  และเกลือ  เป็นอย่างดี  แต่ที่อุณหภูมิสูงจะเกิดการตกตะกอน  หลุดออกมาจากอนุภาค  ทำให้น้ำยางสูญเสียความเสถียร

3.การ ใช้สารเคมีในกลุ่ม  Stabiliser  เพื่อปรับความเสถียรของน้ำยาง  ถ้าใช้ในปริมาณที่มากเกินจะส่งผลเสียต่อขั้นตอนการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ยาง  ได้แก่

  • การจับตัว หรือ ขึ้นรูปในขั้นการตอนการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง ทำได้ยาก
  • ทำให้ความตึงผิวของน้ำยางต่ำกว่าปกติ
  • ความแข็งแรงของผลิตภัณฑ์ยางที่ได้จะต่ำกว่าปกติ
  • ผลิตภัณฑ์ยางที่ผลิตเสร็จจะดูดความชื้นได้ง่าย  ดูคล้ายกับผิวไม่แห้ง
  • สร้างปัญหาด้านคุณภาพให้กับผลิตภัณฑ์ยาง  เช่น  รูรั่วในถุงมือ  ,  ฟองน้ำยุบตัวง่าย   เป็นต้น
  • เป็นการเพิ่มต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์ยาง

4. ธรรมชาติของน้ำยางจะมีสภาพที่ไม่เสถียรที่  pH  <  8  และจะพบว่าที่  pH  ประมาณ  4.1  ไม่มีประจุเหลืออยู่บนอนุภาคยาง  ทำให้ไม่มีการผลักกันเกิดขึ้น